ภูมิแพ้ในเด็ก รู้ทัน ป้องกันได้
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคยอดฮิตที่พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย โดยมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่ในโรคภูมิแพ้ ร่างกายจะเกิดการตอบสนองมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น เช่น ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกเมื่อเราหายใจเข้าไปทางจมูก สารก่อภูมิแพ้ จะไปสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกแล้วทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก เกิดอาการคัดจมูก จาม และมีน้ำมูกใส ถ้าเป็นโรคหืด เมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลมก็จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม เกิดอาการหลอดลมตีบ และเหนื่อยหอบได้ ทั้งนี้หลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อาจใช้เวลาก่อนเกิดอาการเป็นนาที หรือเป็นชั่วโมงก็ได้ ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ยังมักมีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ได้ไวกว่าปกติ เช่น ฝุ่นควัน มลพิษ ความเย็น ความร้อน ความกดอากาศต่ำ ฝน หรือความชื้น ซึ่งภาวะนี้อาจอยู่นานเป็นวัน หรือเป็นเดือนก็ได้ พญ. อรสุรีย์ บุญญาวิวัฒน์ กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน  โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน กล่าวว่า คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตได้จากอาการผิดปกติของลูก เช่น เป็นหวัดบ่อยหรือเรื้อรัง มักจะเป็น ๆ หาย ๆ มาเป็นเวลานาน หรือมีอาการมากในบางช่วงเวลา เช่น จาม น้ำมูกไหลเฉพาะตอนกลางคืน หรือตอนเช้า ส่วนเวลาอื่นมักปกติ บางรายอาจมีอาการไอเป็นหลัก วิ่งเล่นแล้วไอ อากาศเปลี่ยนแล้วไอ ไอเวลากลางคืน ไอเป็นเวลานานหลังหายจากหวัด ไอจนอาเจียน ถ้าเป็นผื่นแพ้ มักจะมีผื่นคัน เป็น ๆ หาย ๆ ในกรณีที่แพ้อาหาร อาจสังเกตพบว่าเป็นผื่นหลังจากรับประทานอาหารบางอย่าง เช่น นมวัว ไข่ อาหารทะเล ถั่วลิสง หรือเป็นผื่นหลังสัมผัสสารบางอย่าง เช่น ฝุ่น สัตว์เลี้ยง หากเด็กมีอาการผิดปกติที่คุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ ควรรีบพามาพบแพทย์ โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และอาจมีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าถ้าพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ จะทำให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 30 – 50% แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงประมาณ 50 – 70% ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลย มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงประมาณ 10% เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นการกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่าง ๆ เช่น ควันบุหรี่ ไรฝุ่น จะสามารถลดอาการของโรค หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้
ในกรณีที่เป็นโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก ทำให้มีอาการนอนหลับไม่สนิท ส่งผลทำให้ตอนเช้ามีอาการง่วงนอน ไม่กระฉับกระเฉง ความจำหรือสมาธิไม่ดี มีผลต่อการเรียนและการงานได้ และในเด็กจะมีผลต่อการเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อบุคลิกภาพ และคุณภาพชีวิตด้วย ส่วนในกรณีที่เป็นโรคหืด ผู้ป่วยอาจมีอาการหอบกำเริบรุนแรง จนเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่แพ้อาหาร ก็อาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หลักการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ คือ ควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งได้มีการสำรวจผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยพบว่า มักจะแพ้ไรฝุ่น ฝุ่นบ้าน เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ แมลงสาบ ละอองเกสรพืช และขนสัตว์ ถ้าทำได้ แพทย์จะแนะนำให้ทำการทดสอบผิวหนังในผู้เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าแพ้อะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง และยังใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาทำการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนอีกด้วย อีกวิธีหนึ่งคือให้การรักษาด้วยยา เราอาจแบ่งการรักษาโรคภูมิแพ้ออกได้เป็น 2 ระดับเพื่อความเข้าใจง่ายๆ 1. ยาบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) และยาขยายหลอดลม ยาต้านการอักเสบ เช่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก หรือสูดทางปาก 2. การใช้วัคซีนภูมิแพ้ เป็นการรักษาโดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้เข้าไปในร่างกายเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ จนร่างกายเกิดความชินต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งผู้ป่วยที่ควรรับการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีนภูมิแพ้คือ ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา โดยก่อนจะเลือกรักษาด้วยการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องทราบก่อนว่าแพ้อะไร เพื่อจะได้นำสารที่แพ้มาฉีดเป็นวัคซีน ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้ป่วยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำอย่างน้อย 3 – 5 ปี พญ. อรสุรีย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งสำคัญในการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้ คือหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ การใช้ยาตามแพทย์แนะนำ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายตามอย่างสม่ำเสมอ หากผู้ป่วยมีอาการมากขึ้น หรือใช้ยาแล้วไม่ได้ผลดี ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนถึงวันนัดหมาย ซึ่งโรคภูมิแพ้นี้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุว่ามีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่ และปรับการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล” ********************************************************************************* สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :  คลินิกกุมารเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน โทร. 032-616-883