“ไส้เลื่อน” อย่าปล่อยไว้ อันตรายกว่าที่คิด !
ไส้เลื่อน คือ ภาวะที่อวัยวะภายในช่องท้องเคลื่อนที่ผ่านช่องทางผิดปกติไปยังตำแหน่งอื่น อวัยวะดังกล่าวนี้ อาจะเป็นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ ที่พบบ่อยได้แก่ ลำไส้ (Bowel) แผ่นไขมันในช่องท้อง (Omentum) ในส่วนของช่องทางผิดปกตินั้น อาจจะเป็นช่องทางที่มีมาตามธรรมชาติแต่ควรจะปิดเองเมื่อกำเนิด หรือเกิดขึ้นมาภายหลังก็ได้ สามารถเกิดที่ใดก็ได้ตั้งแต่กระบังลมลงมาถึงขาหนีบ ซึ่งหากเกิดภาวะดังกล่าวแล้วผู้ป่วยมักจะคลำก้อนได้ในบริเวณที่เกิดไส้เลื่อน หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา มีโอกาสที่อวัยวะภายในที่ออกมาจะติดค้างในช่องทางผิดปกตินี้ (Incarcerated Hernia) และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้อุดตัน (Bowel Obstruction) หรือลำไส้ขาดเลือด (Strangulated Hernia) ซึ่งทำให้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉิน
นพ.ณัฐพร นวลอุทัย ศัลยแพทย์ทั่วไป โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน กล่าวว่า ไส้เลื่อนสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักพบได้บ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในเด็กไส้เลื่อนมักจะเป็นตั้งแต่กำเนิดและสัมพันธ์กับรูเปิดธรรมชาติที่ปิดช้ากว่าปกติหรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ต่างจากผู้ใหญ่ที่ไส้เลื่อนมักจะเกิดภายหลังโดยมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะที่ทำให้แรงดันในช่องท้องสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไอเรื้อรังจากโรคปอด โรคหลอดลมปอดอักเสบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis) หรือถุงลมโป่งพอง (COPD) การยกของหนักเป็นประจำหรือออกกำลังกายอย่างหนัก การเบ่งถ่ายอุจจาระจากภาวะท้องผูกเรื้อรังหรือเบ่งปัสสาวะจากโรคต่อมลูกหมากโต ภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน การตั้งครรภ์ รวมไปถึงภาวะที่มีน้ำในช่องท้องจากโรคตับ
ชนิดของโรคไส้เลื่อน
ไส้เลื่อนมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พบ ได้แก่
- ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ (Inguinal Hernias) เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบหรือง่ามขา เป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มักพบบ่อยในผู้ชาย หากเป็นมากๆ อาจพบไส้เลื่อนลงอัณฑะ (Scrotal Hernia)
- ไส้เลื่อนบริเวณสะดือ (Umbilical Hernias) พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากรูเปิดผนังหน้าท้องบริเวณสะดือยังปิดไม่สนิท ซึ่งจะหายได้เองเมื่อผนังหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
- ไส้เลื่อนบริเวณแผลผ่าตัด (Incisional Hernia) เกิดในผู้ที่เคยรับการผ่าตัดภายในช่องท้องมาก่อน เป็นผลจากซ่อมแซมในส่วนใต้ผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์และกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องอ่อนแอลง ส่งผลให้อวัยวะภายในคลื่อนตัวดันออกมาเป็นก้อนโป่งบริเวณแผลผ่าตัด
- ไส้เลื่อนช่องท้อง (Ventral Hernia) มักเกิดขึ้นเองในบริเวณผนังช่องท้องที่อ่อนแอ ทำให้อวัยวะภายในเคลื่อนตัวดันผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้อง มีหลายชื่อเรียกเฉพาะตามตำแหน่งที่เกิด เช่น Spigelian Hernia, Epigastric Hernia
- ไส้เลื่อนบริเวณต่ำกว่าขาหนีบ (Femoral Hernia) เป็นไส้เลื่อนที่พบได้น้อย แต่พบในเพศหญิงได้มากกว่าเพศชาย จะเกิดในบริเวณต้นขาด้านในต่ำกว่าระดับขาหนีบที่เรียกว่า Femoral Canal
- ไส้เลื่อนภายในอุ้งเชิงกราน (Obturator Hernia) เป็นไส้เลื่อนที่พบได้น้อยมากแต่มีความรุนแรงมากเนื่องจากมักทำให้ผู้ป่วยมีภาวะลำไส้อุดตัน การวินิจฉัยจากการตรวจร่างกายทำได้ยากต้องอาศัยการส่งตรวจเช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง ไส้เลื่อนชนิดนี้มักพบในผู้หญิงสูงวัยที่มีรูปร่างผอม
- ไส้เลื่อนกระบังลม (Diaphragmatic Hernia) เกิดจากมีช่องทางผิดปกติที่กระบังลมทำให้อวัยวะภายในช่องท้องเคลื่อนสู่ช่องปอด อาจพบแต่กำเนิดหรือภายหลังการเกิดอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บของกระบังลมก็ได้
- การผ่าตัดแบบเปฺิดหน้าท้อง (Open Surgery) เป็นการผ่าตัดเปิดผิวหนังบริเวณไส้เลื่อนเพื่อปิดหรือซ่อมแซมบริเวณที่อ่อนแอ และทำการใส่ตาข่ายทับจากด้านนอก การผ่าตัดวิธีนี้ผู้ป่วยอาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าและมีอาการเจ็บแผลมากกว่า แต่ก็มีข้อดีในผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการระงับความรู้สึกด้วยการดมยาสลบ (General Anesthesia) เนื่องจากการผ่าตัดเทคนิคนี้สามารถทำภายใต้การระงับความรู้สึกด้วยยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia) หรือเฉพาะส่วนได้ (Regional Anesthesia)
- การผ่าตัดแบบผ่านกล้องแผลเล็ก (Laparoscopic Surgery) เป็นการผ่าตัดผ่านการเจาะรูขนาดเล็กที่ผนังหน้าท้องและซ่อมไส้เลื่อนด้วยตาข่ายจากภายใน ข้อดีของการผ่าตัดไส้เลื่อนแบบผ่านกล้องคือผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวเร็วกว่าและมีอาการเจ็บปวดแผลน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หรือการบอบช้ำหลังผ่าตัด ซึ่งส่งผลทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตปกติได้รวดเร็วกว่า ในปัจจุบันการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้กำลังจะกลายเป็นการรักษามาตรฐานของการผ่าตัดไส้เลื่อน แต่อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้อาจจะมีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่ไม่สามารถระงับความรู้สึกด้วยวิธีดมยาสลบได้ สำหรับผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดช่องท้องมาก่อน หรือไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่มาก ควรปรึกษากับศัลยแพทย์เพื่อร่วมกันวางแผนการผ่าตัดอย่างเหมาะสมและปลอดภัย